เทศน์เช้า

ปัจจัตตัง

๒๘ ก.พ. ๒๕๔๑

 

ปัจจัตตัง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เรื่องของเขา ฟังแล้วมันเศร้าใจ มันสลดใจเรื่องรูปแบบ เรื่องอะไรนี่ แล้วคนไป อย่างที่เมื่อวานว่า เขาอยากทำอย่างนั้นเพราะเป็นสเต็ป เห็นไหม ไปปฏิบัติเป็นสเต็ปขึ้นไปเลย เป็น สเต็ปขึ้นมา มันเป็นสเต็ปทางวิทยาศาสตร์ แต่ทางธรรมะเป็นสเต็ปไม่ได้ ถ้าเป็นสเต็ปนะ มันเป็นสเต็ปโดยพระพุทธเจ้าว่า เป็นสเต็ปจริงๆ เป็นสเต็ปของธรรม แต่ไม่ใช่สเต็ปของโลก

มรรค ๔ ผล ๔ ไง โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหัตตผล เห็นไหม เป็นสเต็ปขึ้นไปเลย แต่ไม่ใช่สเต็ปตายตัว ถ้าสเต็ปตายตัวนะ การสอนของพระพุทธเจ้า สอนพระโมคคัลลานะอย่างหนึ่ง พระสารีบุตรอย่างหนึ่ง เรวัตตะยิ่งสำคัญเลยล่ะ เรวัตตะก็ไปอีกอย่างหนึ่ง นี่ไม่มีสูตรสำเร็จไง การตำน้ำพริก ไม่ใช่ว่าตำน้ำพริกแล้วเป็นน้ำพริกอย่างนี้ ตำน้ำพริกแล้วอยู่ที่รสเข้มข้น รสเจือจาง แล้วแต่รสของปากของคนไง

คำว่าปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน ปัจจัตตัง อกาลิโก ไม่ใช่กาล ไม่ใช่เวลา ในตำรา เห็นไหม พระพุทธเจ้าบอกหลานพระสารีบุตร

“ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งใดๆ ในโลกนี้ เธอต้องไม่พอใจในอารมณ์ที่เธอไม่พอใจนั้นด้วย อารมณ์ที่ไม่พอใจนี้ก็เป็นวัตถุสิ่งหนึ่ง”

เทศน์ให้หลานฟัง หลานไม่รู้เรื่องเลย แต่พระสารีบุตรอยู่ข้างหลัง พัดอยู่ไง ไอ้คำนี้มันเข้าถึงเลย แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาจากธรรมะข้อนี้ไง นี่ใบไม้ตก เห็นไหม ใบไม้ตกมันเป็นอารมณ์ปัจจัตตังของบุคคลคนนั้นไง ปัจจัตตังมันรู้จำเพาะตนของคนนั้นเลย รู้แล้วมันรู้ตามความเป็นจริง แต่เราเข้าไปเอาของเขามา ทำไมมันไม่รู้ตาม

เพราะมีชีวิต เพราะมีชีวิตนะ วิทยาศาสตร์เป็นวัตถุ ส่วนผสมของวิทยาศาสตร์เป็นวัตถุ สเต็ปนี่ จะวิเคราะห์อะไรก็แล้วแต่วิเคราะห์เป็นวัตถุออกมา แล้วคนที่เข้าไปเป็นส่วนผสมของมันให้ออกมาเป็นอันนั้น เห็นไหม มันถึงเป็นวัตถุ มันถึงตายตัว แต่กิเลสกับสิ่งความรู้อารมณ์มันไม่ใช่วัตถุ มันถึงต้องมีการต่อต้านไง

วิทยาศาสตร์เป็นวัตถุ ชีวภาพ วิทยาศาสตร์ชีวภาพเป็นชีวิต เห็นไหม วิทยาศาสตร์ชีวภาพ หรือการต่อชีวภาพพวกพันธุ์พืช พันธุ์พืชแม้แต่ผสมกันมันยังแปรสภาพ กลายไง ยอมรับว่าให้กลายได้กี่เปอร์เซ็นต์ ยังยอมรับให้กลายเพราะอะไร? เพราะเริ่มมีชีวิตเข้ามาเกี่ยวข้องไง จากวิทยาศาสตร์ทางวัตถุนะ กับวิทยาศาสตร์สิ่งที่เริ่มมีชีวิตขึ้นมา เรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องชีวภาพ สิ่งมีชีวิตมันจะแปรสภาพ มันไม่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไง ขนาดมีชีวิตนะ

แล้วก็ย้อนกลับมาเรื่องของความรู้สึก อารมณ์สิ เรื่องกิเลสในใจที่มันต่อต้านสิ ฉะนั้น ว่าเป็นปัจจัตตัง สเต็ปอันนี้มันมี เราเข้าไปชำระกิเลสไง ถึงว่าจิตนี้มหาศาล จิตนี้มหัศจรรย์ จิตนี้มหัศจรรย์มาก จิตนี้เป็นผู้รับธรรมไง ถ้าเอาสเต็ปแบบนั้นมันเป็นรูปแบบไง ก็เหมือนกับที่ว่ากายธรรม เห็นไหม นิรมาณกาย กายของกิเลส กายของธรรม

ก็เหมือนกับผู้นี้ทรงธรรมขึ้นไป ทรงธรรมขึ้นไป จิตมันสูงขึ้นๆๆ ตัวจิตนั้นตัวความรู้สึกไง แต่ความสมมุติ อย่างเช่นนิพพาน นิพพานนี้เป็นที่พ้นกิเลสไป จะเรียกว่านิพพานหรือไม่เรียกนิพพาน ถ้าเรียกนิพพานต้องมีสิ่งที่พิสูจน์ได้ แล้วนิพพานทำไมอธิบายไม่ได้? อธิบายได้ในการมองตากันเฉยๆ ไง มองตาความรู้สึกไง

เราเห็นนี่ เราเห็นถุง เห็นไหม แล้วเราจะไม่วิจารณ์ถุงนี้เลย เราบอกถุงนี้มีกล้วย กล้วยอะไร? เราจะเถียงกันตายเลย สวยหรือไม่สวย เพราะทุกคนจะเอาภูมิหลัง เอาความรู้สึกของตัวมาจับ เรามองถุงนี้สิ แล้วทุกคนเห็นนะ แล้วหันไปมองกัน ให้นึกถึงถุงนี้แล้วมองตากัน จะเห็นเหมือนกันหมดใช่ไหม? แต่เรื่องว่าที่เราจะให้ค่านี่ต่างกัน

ต่างกันเพราะว่าการอธิบายออกมา คือว่าเราสมมุติออกมาไง นิพพานเป็นอย่างนั้นๆๆ นิพพานอารมณ์เป็นอย่างนั้นๆๆ นี่สมมุติออกมาหมดเลย นิรมาณกาย ธรรมกาย กายของธรรม สมมุติไหม? สมมุติจากกายนั้นออกมาไง นี่มันถึงสมมุติออกมา แล้วก็เขียนออกมาเป็นสเต็ป มันจะเข้ากับโลกได้ไง เพราะเราเคลื่อนออกมาจากตรงนั้นแล้วไง มันเป็นสเต็ปแล้ว ถึงบอกว่ามันเป็นสเต็ป แต่สเต็ปแบบนั้นถึงปัจจัตตังมันต่างกัน ความปัจจัตตังนี้เข้าไปชำระกิเลสไง มันเข้าไปทางวิทยาศาสตร์ด้วย วิทยาศาสตร์ด้วยนะ วิทยาศาสตร์ทางจิต มันเหนือวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทางจิตนะ วิธีการไง วิธีการ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคสามัคคีให้อบรมขึ้นไปนะ นี่เป็นวิทยาศาสตร์เลย วิทยาศาสตร์นะ เพราะมันต้องเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต แต่จิตคือการต่อต้าน คือตัวความรู้สึกที่ชำระกิเลส เพราะกิเลสนี้เป็นนามธรรม

กิเลสนี้เป็นนามธรรมนะ กิเลสนี้เป็นนามธรรม แต่เราเป็นบุคลาธิษฐานออกมาให้เป็นวัตถุว่ากิเลสจะเป็นอย่างนั้น เป็นพญามารอย่างนั้น เป็นยักษ์เขี้ยวยาวอย่างนั้น เป็นฝ่ายมารอย่างนั้นๆ เป็นฝ่ายมารไง แต่มารนี่ สมมุติว่าเราเป็นคนไม่ดี เราเป็นมาร เราเป็นฝ่ายที่ไม่ดี พอเราสำนึกตน เรากลับเป็นคนดี เราอันเก่าไหม?

เพียงแต่ไอ้ความคิดความรู้สึกของเรามันเปลี่ยนแปลงสภาพขึ้นไป ความคิด เจตนาที่ว่าเราทำไม่ดี มันแปรสภาพขึ้นไปชำระกิเลส ชำระกิเลสแล้วอะไรหลุดไปจากตัวเรา ข้าวเก่า ความคิดอันเดิม แต่กิเลสมันหลุดไป หลุดไปจริงๆ

ฉะนั้น ถึงว่าเป็นโสดาบันนี่ชำระกิเลส เป็นสกิทาคามีชำระกิเลส ชำระกิเลสนะ พอเป็นอนาคามีนี่ชำระกิเลสด้วย กิเลสตัวนี้มันเป็นสอง กิเลส กระแสของกิเลสด้วยไง คือว่ากระแสตัวพาเกิดไง พระอนาคามีนี่ไม่เกิดในเทวดาแล้ว ตัด ตัดกระแสด้วย ตัดกิเลสด้วย กิเลสตัวนี้มันลึกเข้าไป มันเหมือนกับว่าในกิเลสนั้น รสของกาแฟมันร้อนด้วย ความร้อนไง นี่ความร้อนเป็นกิเลส แต่รสของพวกกาแฟมันทำให้สีดำ

สีดำนี่ เห็นไหม สีดำคือว่ามันให้ผลทางคาเฟอีน นี่เชื้อพาเกิดไง เชื้อที่ดับด้วย ผลของความร้อนคือผลของกิเลสไง แต่เวลาเป็นโสดาบันขึ้นมามันชำระแต่ผลของความร้อนไง ผลของกิเลสคือผลของกิเลส แต่พออนาคามี ผลของกิเลสด้วย ผลของพวกคาเฟอีนด้วย พอชนะหมดปั๊บ น้ำนั้นสะอาดเป็นน้ำใส น้ำใส เห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใด จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส

มันจะบอกว่ามันทั้งชำระกิเลสด้วย คือว่ากิเลสตัวนี้มันพาเกิดด้วยไง มันถึงเป็น ๒ ชั้นไง ความเป็น ๒ ชั้นคือความเป็นปัจจัตตังตรงนั้นไง ฉะนั้น ต้องประสบเอง ต้องแก้ไขเอง ไม่ใช่ สเต็ปไง เป็นปัจจัตตัง ความเข้าไปรู้ ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ใช่ไหม? อย่างเช่นหลวงปู่ขาว พิจารณาข้าวๆ เราทุกคนไปเห็นเกลื่อนไปหมด แล้วพยายามพิจารณาตามแต่ทำไม่ได้ เพราะเราไม่มีพื้นฐานตัวนี้ไง

พระพุทธเจ้าสอนนะ เวลาพระพุทธเจ้าจะสอนประชาชนทั่วไปหรือจะสอนพระก็แล้วแต่ ท่านจะพูดเรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องนรก สวรรค์ เพื่อให้จิตนี้ควรแก่การงาน ภูมิจิต ภูมิธรรมไง โลกียะ! ทำไมเป็นโลกียะ ทำไมเป็นโลกุตตระล่ะ? ความเป็นโลกียะ เห็นไหม วิทยาศาสตร์ ความคิดของโลกไง ความคิดของโลก ความยึดมั่นไง ทีนี้ทำอย่างไรให้ใจมันผ่องแผ้ว ให้ใจควรแก่การงาน

ดิน การจะปั้นโอ่ง ปั้นไห มันต้องควรปั้นให้ดินนั้นสมควรแก่โอ่งก่อน ดินนี้ปั้นโอ่ง ขุดดินจากนามาก็ปั้นโอ่ง รั่วหมด เป็นไปไม่ได้ การปั้นโอ่งต้องเอาดินนี้มาขยำก่อน จนกว่าเราจะควรแก่การงาน หัวใจนี้ควรแก่การงาน ควรแก่การจะเริ่มเข้าปัจจัตตังไง มันต้องเข้าไปสัมผัสเองโดยธรรมชาติไง ต้องถึงบางอ้อไปกระทบด้วยตัวเอง นี่ถึงว่าเป็นปัจจัตตังไง ความเป็นปัจจัตตังของบุคคล

ความเป็นปัจจัตตังของบุคคลคนนั้น เราไปเอามาเป็นปัจจัตตังของเรา มันก็เป็นการครอบไว้ไง เป็นโลก เป็นโลกียะ ครอบงำไว้ไง เหมือนกับเด็กมันไปหาอะไรมา หรือมันเจออะไรมาก็แล้วแต่ เราว่าเป็นของๆ เรา แล้วเรายึดมาเลย เห็นไหม เราครอบสิทธิของเด็กอันนั้นไว้ไง เราครอบสิทธิเพราะเด็กนั้นไปเจอของนั้นมา เด็กเก็บแก้ว แหวน เงิน ทองมา แล้วเราไปโกงเด็กมา เราไปครอบเด็กไว้

นี่ก็เหมือนกัน เอาความคิดของคนอื่นมา แต่เพราะความคิดของตัวมันขัดแย้งอยู่ไง ถึงจะรู้ เพราะจำมาจากภายนอกเป็นโลก แต่ตัวต่อต้านภายในไง ตัวต่อต้านภายในคือกิเลสของเราภายในมันยอมรับเฉยๆ แต่มันไม่เข้าใจตามความเป็นจริง แต่ถ้าเป็นปัจจัตตังของตัว มันจะซึ้งมาก ปล่อยวางมาก เห็นโทษของความผิดเลย

เหมือนกับหมอ เรื่องของยาของหมอ หมอจะรู้ว่านี่เป็นเชื้อโรค ยาตัวนี้เข้ามาฉีดเราแล้วมันจะรักษาโรคของเรา แต่มันจะมีผลข้างเคียงทำให้เราเป็นอย่างนั้นๆ เห็นไหม นี่ผลข้างเคียงเหมือนกับกิเลสมันต้านไง รู้ไม่รอบ พอรู้ไม่รอบมันว่าเป็นประโยชน์ของคนๆ นั้น เป็นปัจจัตตังของคนๆ นั้น นี่ปัจจัตตัง พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ยกไว้ให้เป็นปัจจัตตัง ครูบาอาจารย์บอกยกไว้ให้เป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตนไง

ปัจจัตตังหมายถึงว่าความรู้จำเพาะตน ตนคนนั้นรู้จำเพาะขึ้นมาตามความเป็นจริง แล้วมันจะปล่อยได้ตามความเป็นจริง แล้วคนอื่นเอาไปได้แต่กาก กากหมายถึงว่าที่ท่านสอนออกมาไง กาก เห็นไหม อาจารย์มหาบัวบอกว่า “เป็นกิริยาของธรรม” เป็นสิ่งที่ว่าท่านอธิบายความหมายมา เราไปจำมา อันนี้มันเป็นต้นทุนได้ เพียงแต่พวกเราไม่เข้าใจว่าทำไมเราฟังมาเหมือนกัน คำๆ เดียว เครื่องความหมาย หรือว่าวัตถุสิ่งเดียวกันทำไมเราไม่เป็นแบบนั้น?

ถ้าเป็นแบบนั้น พระพุทธเจ้าเทศน์นี่ โอ้โฮ เทวดาสำเร็จมรรค ผล ทุกคนสำเร็จหมดเลย พระสำเร็จมากเลย แต่เราก็อันนั้นเหมือนกัน เพราะเมื่อก่อนสิ่งนี้ไม่มี ภาษาในพระไตรปิฎกเป็นขอมทั้งหมด มันถึงว่าแล้วห้ามศึกษากันมาไง เราศึกษาไม่ทัน เดี๋ยวนี้เป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมา มันก็เสียไปอย่างหนึ่ง เสียในการชินชาไง ความชินชา ความลูบคลำ ความนอนใจ อันนี้เป็นเรื่องของกิเลสชัดๆ เลย

เราดูว่าตรงนั้นเป็นเรื่องที่เป็นความยาก ความยากมันเข้าไป เรากระเสือกระสนเข้าไปมันเป็นปัจจัตตัง เพราะใจนี้เข้าไปรับรู้ ใจนี้พยายามต่อสู้เข้าไป แต่พอเราเริ่มชินชา ชินชาเพราะว่าเมื่อไหร่ก็ได้ พระไตรปิฎกเป็นตู้ๆ เปิดเมื่อไหร่ก็ได้ไง เพราะเมื่อไหร่ก็ได้ เห็นไหม ความนอนจม จิตมันไม่ตื่นตัว ไม่รับรู้นะ รับรู้สักแต่ว่าไง เหมือนกับนอนอยู่ ให้เขามาแบบว่าจะให้เรากินข้าว อะไรนี่ นอนอยู่เฉยๆ เลย แล้วเราไม่อ้าปากด้วย แต่เราอยากกินข้าว แต่ถ้าเราไปขวนขวาย เหมือนเราหิวกระหาย เราต้องตักใส่ปากเรา

นี่พูดถึงวัตถุ เห็นไหม จะเปรียบถึงเวลาจิตที่มันนอนจมมันคิดเป็นอย่างนั้นไง สักแต่ว่าเลย เพราะปากคือว่าอาการของใจคือเจตนา คือสภาวะรับรู้เข้ามา สภาวะดึงดูดเข้ามา เพราะดูสิ อย่างที่ว่าคนปากกินอาหาร หัวใจกินอารมณ์เป็นอาหาร เพราะมันซึมซับเข้ามาไง ซึมซับเข้ามาๆ จนกว่าจิตนี้มันจะขึ้นมาเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์หมายถึงมันยอมรับไง แล้วมีพื้นที่ให้มัน (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)